Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

ประกันสังคมคืออะไร และ อะไรคือประกันสังคม

การประกันสังคมคืออะไร
การประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มสมาชิกที่มีรายได้และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลและมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง
งานประกันสังคมดำเนินการตามกฏหมายอะไร
งานประกันสังคมดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 แก้ไขเพิ่มติม(ฉบับที่3) พ.ศ.2537 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฏีกากำหนด ระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2546

ใครคือผู้ประกันตน
ผู้ประกันตน คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำ 15 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันเข้าทำงานและทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป

ผู้ประกันตนยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนได้ที่ใด
ผู้ประกันตนยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัดทั่วประเทศ หรือขอรับประโยชน์ทดแทนทางโทรศัพท์ หรือส่งแบบคำขแรับประโยชน์ทดแทนได้ทางไปรษณีย์ สำหรับกรณีว่างงาน ผู้ประกันตนกรณีว่างงานต้องยื่นแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนที่สำนักงานจัดหางานของรัฐทั่วประเทศ

หลักฐานอะไรบ้างที่ต้องนำมาแสดงในวันยื่นแบบขึ้นทะเบียน สำหรับนายจ้าง- กรณีเป็นนิติบุคคล
1. แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (สปส. 1-01)
2. สำเนาหรือภาพถ่ายหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลพร้อมวัตถุประสงค์
3. สำเนาหรือภาพถ่ายใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) หรือสำเนาหรือภาพถ่ายคำขอ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01)หรือสำเนาหรือภาพถ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.20)
หรือสำเนาหรือภาพถ่ายใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)
4. แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ
5. หนังสือมอบอำนาจ (เฉพาะกรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทน พร้อมติด
อากรแสตมป์ตามที่ประมวลรัษฏากรกำนหด)

*กรณีเจ้าของคนเดียว
1. สำเนาหรือภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน (คนต่างด้าวใช้สำเนาหนังสือเดินทาง
หรือใบสำคัญประจำตัวของคนต่างด้าว)
2. สำเนาหรือภาพถ่ายทะเบียนบ้าน
3. สำเนาหรืภาพถ่ายใบทะเบียนพาณิชย์ หรือใบอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ออก
ตามกฏหมายอื่นซึ่งระบุชื่อที่อยู่ชัดเจน
4. สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร หรือสำเนาหรือภาพถ่ายใบอนุญาตประกอบกิจการ
โรงงาน ( ร.ง.4 ) หรือสำเนาหรือภาพถ่ายใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ( ภ.พ.20)
หรือสำเนา หรือภาพถ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.20)
5. แผนที่ตั้งของสถานประกอบการ
6. หนังสือมอบอำนาจ (เฉพาะกรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทน พร้อมติด
อากรแสตมป์ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด)

*สำหรับลูกจ้าง
1. กรอกแบบฟอร์มขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03)
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นซึ่งทางราชการออกให้
3. สำเนาใบอนุญาตทำงานและสำเนาหนังสือเดินทาง หรือสำเนาใบอนุญาตทำงานและ
สำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวในกรณีผู้ประกันตนเป็นชาวต่างชาติ
4. ลูกจ้างที่เคยยื่นแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาแล้วให้แจ้งการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน
(สปส. 1-03/1) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างเข้าทำงาน กรณีกิจการเป็นเจ้าของ
คนเดียว เจ้าของกิจการคือนายจ้างไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนได้

จะขึ้นทะเบียนกับกองทุนประกันสังคมอย่างไร
- นายจ้างจะต้องยื่นแบบ ดังนี้
1. แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง ( สปส. 1-01)
2. แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03) สำหรับผู้ที่ไม่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมา
ก่อนหรือแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ( สปส.1-01) สำหรับผู้ที่เคยขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน
แล้ว โดยนายจ้างที่ีมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นแบบได้ที่
สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ สำหรับนายจ้างที่มีสำนักงานใหญ่ในส่วนภูมิภาค ให้ยื่น
แบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำงนักงานประกันสังคมจังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่

- การแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงผู้ประกันตน
1. การแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนกรณีที่มีลูกจ้างลาออกจากงาน ให้นายจ้างแจ้ง
การออกงาน โดยใช้หนังสือแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน (สปส.6-09) ภายใน
วันที่ 15 ของเดือนถัดไป
2. การแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงผู้ประกันตนกรณีที่ผู้ประกันตนเปลี่ยนแปลงชื่อ - ชื่อสกุล
หรือข้อมูล สถานภาพครอบครัวและข้อมูลจำนวนบุตร ให้ใช้หนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลง
ข้อเท็จจริงผู้ประกันตน (สปส.6-10) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วผู้ประกันตนจะได้รับอะไรจากประกันสังคม
1. บัตรประกันสังคม ผู้ประกันตนที่เป็นคนไทยใช้บัตรประจำตัวประชาชน เป็นบัตรประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนที่เป็นคนต่างด้าวจะได้รับบัตรประกันสังคม เพื่อใช้ในการติดต่อกับสำนักงานประกันสังคม
2. บัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ผู้ประกันตนจะได้รับบัตรรับรองสิทธิฯ เมื่อได้ขึ้นทะเบียนและส่งเงินสมมบครบ 3 เดือนแล้ว โดยผู้ประกันตนจะต้องเลือกสถานพยาบาลที่จะเข้ารักษkเอง สำนักงานฯ จะส่งบัตรรับรองสิทธิฯ ไปให้เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลที่ระบุในบัตรรับรองสิทธิฯ ซึ่งจะให้การรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่ ถ้าต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกผู้เข้ารับการรักษาจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง

ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไรบ้าง
1. กรณีประสบภัยอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน จะได้รับบริการทางการแพทย์ เงินทดแทนการขาดรายได้ ค่าบริการทางการแพทย์ เงินทดแทนการขาดรายได้ ค่าบริการทางการแพทย์ กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และการใส่ฟันเทียมชนิด ถอดได้ฐานอคริลิก ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์บำบัดโรค การบำบัดทดแทนไตโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างช่องท้องด้วยน้ำยาแบบถาวรและการปลูกถ่ายไต การปลูกถ่ายไขกระดูก การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
2. กรณีคลอดบุตร จะได้ค่าลาคลอดบุตร และเงินสงเคราะห์ การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
3. กรณีทุพพลภาพ จะได้เงินค่าบริการทางการแพทย์และเงินทดแทนการขาดรายได้ ค่าอวัยวะเทียม และอุปกรณ์บำบัดรักษาโรค ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ทุพพลภาพ ค่าทำศพ และเงินสงเคราห์กรณีตาย
4. กรณีตาย จะไดรับเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์กรณีตาย
5. กรณีสงเคราะห์บุตร จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรชอบด้วยกฏหมายที่อายุไม่เกิน 6 ปี คราวละไม่เกิน 2 คน โดยเหมาจ่ายเดือนละ 350 บาท ต่อบุตร 1 คน
6. กรณีชราภาพ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ หรือเงินบำนาญ ชราภาพ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน
7. กรณีว่างงาน หากถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินทดแทนครั้งละไม่เกิน 180 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง หากลาออกจากงาน จะได้รับเงินทดแทนปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง
กรณีว่างงานจะได้อะไร
1. ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงาน ร้อยละ 50 ของค่าจ้างครั้งละไม่เกิน 180 วัน
2. ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนจะได้รับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานร้อยละ 30 ของค่าจ้างครั้งละไม่เกิน 90 วัน
» หากใน 1 ปีปฏิทิน มีการยื่นขอรับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานทั้ง 2 กรณี ให้นับระยะเวลาการรับเงินทดแทนในระหว่างการว่างงานรวมกันไม่เกิน 180 วัน
หมายเหตุ : ผู้ประกันตนต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานที่สำนักจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้างหรือสิ้นสุดสัญญา เพื่อมิให้เสียสิทธิในการรับเงินทดแทน (ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท)